Casa Loma Hotel
Panama city beach, Flordia
การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากการอยากลองไปใช้ชีวิตในต่างแดนแบบที่ไม่มีพ่อกับ แม่ดูสักครั้งไม่ใช่ว่าคิดว่าตัวเองเก่งเลยแต่เตยคิดว่ามันเป็นการพิสูจน์ อย่างหนึ่ง และอะไรๆได้หลายอย่างเลยทีเดียวค่ะ ตอนแรกพ่อกับแม่ก็ไม่เห็นด้วยกับการไปครั้งนี้ เตยทราบดีค่ะที่พ่อแม่ทุกคนต่างก็เป็นห่วงลูกๆซึ่งเตยขอไปในช่วงแรกพ่อกับ แม่ไม่ให้และไม่ฟังเตยเลย ว่าจะไม่ให้ไปอย่างเดียวถึงขั้นให้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้มาทุกๆ อย่างเตยก็หามาให้พวกท่านดูเป็นหลักฐาน เริ่มตั้งแต่โครงการนี้คืออะไร ไปแล้วทำอะไรอยู่อย่างไร รวมถึงพิสูจน์บริษัทที่น่าเชื่อถือในเวปไซด์ของกระทรวงพาณิชย์ ฟังดูอาจจะดู เว่อร์ แต่มันคือเรื่องจริงค่ะ พร้อมทั้งให้เพื่อน ให้คนรอบข้างพี่สาวช่วยพูดกับพ่อแม่ หาเหตุผลต่างๆนานาที่จะไปแต่สุดท้ายท่านก็ให้ไปค่ะ
เตย อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนนะคะเพราะเตยเชื่อว่าการขอไปแดนไกลๆ แบบนี้ พ่อกับแม่ก็ต้องการความเชื่อมั่นไม่อยากให้เราถูกลอยแพ หรือ ลำบาก แต่เตยใช้เหตุผลคุยกับท่านค่ะหาข้อมูลหาบริษัทที่ไว้วางใจได้ และที่สำคัญคือเตยมีเพื่อนไปค่ะถ้าไปคนเดียวอาจจะขอยากนิดนึงค่ะเหมือนกับ ว่าท่านก็อยากให้เรามีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อยก็เป็นคนไทยเป็นเพื่อนที่เรา รู้จักกันและเดินทางไปด้วยกันและอยู่ด้วยกันค่ะ
ก่อนไปก็จะมีการสอบสัมภาษณ์3 ด่านด้วยกันค่ะ ด่านแรก คือ สัมภาษณ์กับทางบริษัทที่เป็นเอเจนซี่ (เตยไปของMPLC ค่ะ) เตยสัมภาษณ์กับอาจารย์ฝรั่ง (เป็นคุณครูที่น่ารักมากๆ) ชื่อ อ.ริชาร์ด ค่ะพูดไทยได้ดีเลยทีเดียวค่ะ แต่การสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษค่ะ ถามเรื่องทั่วๆไปค่ะและถามเกี่ยวกับความพร้อมกับการไปครั้งนี้และให้เรา ประเมินตัวเองว่าเราเป็นคนอย่างไร และอาจารย์ก็ชวนคุยเล่นเพื่อให้เรารีเลคซ์มากๆค่ะ เป็นการสัมภาษณ์ที่รู้สึก ชิลและสนุกมากๆค่ะ ชวนเตยเปิดGoogleEarth เพื่อดูประเทศอเมริกาและรัฐที่เตยจะไปว่าเป็นอย่างไรด้วยค่ะ และรู้ผลสัมภาษณ์วันนั้นเลย เตยเลือกที่จะไป รัฐฟลอริดา ค่ะ ซึ่งคิดว่าอากาศเหมือนเมืองไทย(อ่านรีวิวจากในเวปไซค์) เมืองปานามา ซิตี้ บีซ ค่ะ อาจารย์ก็เล่าคร่าวๆให้ฟังว่า ยูต้องไปเจอแบบนี้ๆ และช่วงที่ยูไปจะสนุกมาก เพราะตรงกับช่วงSpring Break พอดี !
ด่านที่สอง สัมภาษณ์กับทางเอเจนซี่ที่อเมริกา ค่ะ โดยเขาจะSkype มา หาดดยทางเอเจซี่ประเทศไทยจะบอกเราว่าจะสัมภาษณ์ช่วงไหน และให้เราออนไว้ตั้งแต่ 3ทุ่มห้ามนอน ซึ่งเขาคอลมาตอน เที่ยงคืนครึ่งค่ะ
คนสัมภาษณ์เตยเป็นผู้หญิง น้ำเสียงดูไม่แก่เลยค่ะ และพูดจาดีมากๆค่ะ ตอนแรกก็ฟังไม่ออกค่ะเพราะพื้นฐานภาษาอังกฤษไม่ได้แน่นมากแต่ก็พอที่จะสื่อ สารได้แบบงูๆปลาๆโดนการสัมภาษณ์นะคะ มีทริคอยู่นิดนึงค่ะ โดยเราต้องชวนเขาพูดคุยทำให้การสนทาไม่ตรึงเครียดและฝรั่งจะไม่ค่อยชอบให้ เป็นฝ่ายถามอย่างเดียวการสัมภาษณ์ของเตย เริ่มแรกเขาจะให้แนะนำตัวเองส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของเตยทั้งนั้นเลยไม่ถามคำ ถามที่เป็นวิชาการอะไรมากเท่าไหร่เลยค่ะ อย่างมากก็ถามว่ายูรู้อะไรเกี่ยวกับรัฐที่ยูจะไปบ้าง ซึ่งจุดนี้เราต้องหาข้อมูลไปบ้างค่ะตอบแบบสั้นๆ ส่วนของเพื่อนที่ไปด้วย ไม่ผ่านการสัมภาษณ์ค่ะเนื่องจากเพื่อนเกร็งจนเกินไปค่ะ และถูกเขาถามอย่างเดียว เจอคำถามเชิงจิตวิยาไทยเชิงการแก้ปัญหาว่าถามเจอแบบนี้จะรับมือกับมันอย่าง ไรซึ่งเราต้องมีความมั่นใจในการตอบมากๆและออกแนวเชิงขำๆ อย่างนิ่งเงียบเด็ดขาดและพอหลังจากที่สัมภาษณ์เสร็จก็โทไปเล่าให้พ่อกับแม่ ฟัง และซึ่งอดหลับอดนอนกันมาตอนเย็นเวลาของประเทศไทยประมาณ 4 โมงกว่าๆ มีโทรศัพท์โทรเข้ามาบอกว่า ‘ยินดีด้วยนะคะน้องผ่านการสัมภาษณ์แล้วค่ะ!’ซึ่งเตยดีใจมากๆค่ะ
ส่วน ด่านสุดท้ายนะคะนี่ง่ายซะยิ่งกว่าง่ายค่ะ คือการสัมภาษณ์วีซ่าค่ะแต่ด่านตรวจค่อนข้างจะเข้าถึงยากนิดนึง ซึ่งการนัดสัมภาษณ์วีซ่าทางเอเจนซี่เราจะเป็นคนนัดค่ะห้ามเอาอุปกรณ์อิเล คทรอนิคต่างๆเข้าไปเด็ดขาดค่ะ แม้แต่แบตสำรองก็ห้ามค่ะและมีการตรวจค้นร่างกายอย่างเข้มงวดมากๆค่ะแบบ one by one เลย ค่ะเมื่อไปถึงหน้าสถานฑูตอเมริกา สิ่งที่เห็นคือแถวค่ะซึ่งยาวจากหน้าประตูทางเข้ายาวออกมาถึงรั้วและจากรั้ว ยาวมาถึงสะพานลอยข้างนอกตรงถนใหญ่เลยค่ะยืนรอนานมากๆๆ ร่วม 3 ชั่วโมง มีแต่เด็กๆนักศึกษาเยอะมากๆค่ะ และแดดร้านมากๆค่ะก็มียามคอยถามว่าเอาน้ำไหม ใครจะเป็นลม ซึ่งน่ารักมาๆ
เมื่อเข้าไปถึงในห้องสัมภาษณ์ค่ะ จะเป็นหน้าต่าง ช่องๆ มีฝรั่งสัมภาษณ์ค่ะ ถามแค่1 คำถาม คือ GPA ยูเท่าไหร่ ละจบ พร้อมกับบอกว่า ขอให้สนุกกับการเดินทางในอเมริกา5555 ซึ่งแบบงงมาก ว่า เอ้ะ? นี่เราผ่านแล้วหรอ
วันเดินทาง พ่อกับแม่และน้องชายก็ไปส่งที่สนามบินค่ะยอมรับตอน เชคอินก็เกือบๆร้องไห้ต่อหน้าพ่อกับแม่ เตยยอมรับค่ะว่าเป็นคนติดแม่มากๆเพราะไม่ค่อยไปห่างจากครอบครัวไปที่ไกลๆและ ระยะเวลายาวนานขนาดนี้มาก่อนแต่พอเตยสวัสดีร่ำราและเตยก็รีบหันหลังเข้าไปใน ประตู น้ำตาเตยก็ไหลเลยค่ะ
การเดินทางไปอเมริกาครั้งนี้ เตยจะจดจำไปอีกนานค่ะเนื่องจากเป็นการนอนสนามบินครั้งแรก ไม่ถึงกับนอนหรอกค่ะ แค่งีบๆ เนื่องจากเตยต้องไปต่อเรื่องที่ประเทศเกาหลี(สนามบินอินชอน)บินออกจากประเทศ ไทยตอนประมาณ5ทุ่ม ถึง เกาหลีประมาณ7โมงเช้าของเกาหลี เป็นระยะทางแค่ไม่กี่ชั่วโมงเตยก็เพลียแล้วค่ะ และรอต่อเครื่องบินยาวๆไปลงที่ แอตแลนต้า ใช้เวลาจากเกาหลีประมาณ 13 ชั่วโมง
ถึง EPC แล้วจ้า.. สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือบรรยากาศ ! ที่หนาวและเย็นมาก
การผจญภัยจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ. หลังจากที่เดินทางมา1วันเกือบ2วันเต็ม และรอเอเจนซี่ที่อเมริกา (สังกัดAWA) จ้างมา มารับพวกเราอีกทีไปยังที่พัก ก็มาเจอเด็กไทยกันอีก4คนซึ่งเราก็ไม่รู้เลยว่าเราต้องมาอยู่ด้วยกันที่ที่ เดียวกัน พวกเรารอกันประมาณเกือบ 3 ชม. คือเราไม่สามารถถติดต่ออะไรกับเขาได้เลย รอจนคนในสนามบินไปกันหมดซึ่งเงียบมากๆ และเราก็ไปถามเจ้าหน้าที่ในสนามบินว่าพอจะช่วยเราติดต่อได้ไหมซึ่งเรามี เบอร์โทร ติดต่อไปเขาก็บอกว่ากำลังมารับ ซึ่งเราโล่งอกมากๆซึ่งคนมารับชื่อ Ben และลูกน้องอีก 2 คน ซึ่งเป็นคนจีนทั้งหมด พาเราไปพักที่ Ashley Apt. ซึ่งบรรยากาศของที่พักดีมากๆ สะอาด น่าอยู่มีสระว่ายน้ำ มีฟิตเนส เป็นเหมือนหมู่บ้านของฝรั่งที่เริ่มก่อสร้างครอบครัวน่ารักๆห้องที่เราอยู่ กันเป็นห้องขนาดใหญ่สุดไม่ได้รู้สึดอึกอักอะไรเลย เพราะมีห้องนั่งเล่นกลาง 1 ห้อง ห้องน้ำ 2 ้อง ห้องนอน3ห้องเราอยู่ด้วยกัน 6 คน เดินทางมาวันแรกที่ตื่นขึ้นมานึกว่า Ben จะพาไปหานายจ้างแต่สุดท้ายพวกเราต้องเดินไปหานายจ้างเอง อุปสรรค์เริ่มเกิดขึ้นเพราะพวกเราเจอคนดูแลไม่ดีเลย มันมีรายละเอียดเยอะมากและค่าเช้าบ้านที่แสนจะแพงเก็บคนละ ย้ำ! คนละ $350 /เดือนและเก็บมัดจำอีก คนละ $200 (จะได้หลังแจ้งออกจากบ้าน) เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นี่มากมาย และที่สำคัญค่าบ้านที่เราจ่ายกันไปเราสามารถเปิดแอร์เปิดน้ำได้ตลอด 24 ชม.
ซึ่งประเทศนี้ไม่มีคำว่าเปลืองเลยจริงๆ 555555 เพราะเป็นราคาที่คิดแบบเหมาจ่ายอยู่แล้ว หลังจากที่ไปหาเจ้านายต้นสังกัด ที่โรงแรม Holiday inn ห่างจากที่พักประมาณ 3-4ไมล์ เป็นแผนก HR ซึ่งน่ารักกันมากๆ เขาไม่รังเกลียดเราเลยและพร้อมที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ โดนให้เราสอนพูดภาษาไทย ให้เขาอีกด้วย เขาให้เราเซ็นเอกสาร แนะนำต่างๆและส่งเราไปทำงานโรงแรมในเครืออีกที่นึงซึ่งไกลออกไปจากรร.นี้อีก ไม่กี่ไมล์ แต่ถ้าเทียบกับบ้านเราแล้ว ก็ไม่ไหวที่จะเดิน และผู้จัดการ HR (เป็นผู้หญิง) หลังเลิกงานเขาก็อาสาพาพวกเราไปซื้อจักรยานที่ walmart
ในรูปชื่อคารอส เป็นผู้ช่วย HR Mgt. สามารถพูดได้หลายภาษา โดยเฉพาะภาษาสเปน เพราะคนงานส่วนใหญ่ในอเมริกาเป็นคนสเปนมาจากแมคซิโก เขาเป็นผู้คอยดูแลพนักงานใหม่ทุกคน รวมถึงขับรถพาเราไปตรวจปัสสาวะที่คลีนิกและรอรับกลับ และนัดปฐมนิเทศพนักงานใหม่ ดูแลเรื่องเอกสารเซนเอกสาร ถ้าเราไม่เข้าใจตรงไหน ก็ถามเขาได้เลย กรอกตรงไหนอย่างไรอธิบายชัดเจน คุยเล่น สนุกมากๆเมื่อเรามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการทำงานเราสามารถบอกเขาได้เลยเขาส่ง พวกเตยไปทำงานที่ Casa Loma Hotel ห่างจากบ้าน 7ไมล์ ซึ่งต้องปั่นจักยานท้าลมหนาวไประยะหนึ่งเนื่องจากที่เตยไปช่วงนั้น ฟลอริดาโดนพายุหิมะ อากาศจึงหนาวและเยนมากๆ บางวันติดลบ4 องศา เพื่อนข้างบ้านเล่าให้ฟังว่าเมื่อเดือนก่อนที่พวกเตยจะมา ฟลอริดาหิมะตก ในรอบ 20ปี ซึ่งประหลาดมากเพราะที่ทุกคนรู้ดี เป็นรัฐที่อากาศเหมือนเมืองไทย นั่นคือร้อนชื้น/อบอุ่น
แต่ ก็แอบแปลกใน อากาศหนาวลมเย็นขนาดนี้ ก็มีพวกวัยรุ่นอยู่ตามชายทะเลใส่ชุดว่ายน้ำ/บิกินี่ เดินอย่างไม่รู้สึกอะไร เลยพวกเตยก็ใส่เสื้อกันหนาว คนก็มองละแซวๆและก็หัวเราะกัน ช่วงนั้นเป็นช่วง Spring break พอดีวัยรุ่นจะเยอะมากแทบทุกโรงแรม และตามชายหาด เพราะเนื่องจากปิดภาคเรียนกัน หาโอกาสมาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ
...โรงแรม ที่ทำงานอยู่ติดทะเลบรรยากาศดีเพื่อนร่วมงานน่ารักเป็นชาวแมกซิกัน ทำงานในตำแหน่งแม่บ้านทำความสะอาดห้องพัก เริ่มแรกเขาจะให้เราไปเทรนกับพนักงานเก่าก่อนจะสอนเราต้องทำความสะอาดอย่าง ไร ทำตรงไหนบ้าง และจัดห้องอย่างไร วางหมอนแบบไหน และห้องแต่ละห้องที่ทำก็แสนจะสกปรกบางทีเจอห้อง เชคเอาท์เข่าแทบทรุด 555 5 ทั้งทรายทั้งน้ำ ทั้งเลอะเทอะ ไม่รู้จะเริ่มเก็บตรงไหนก็ดีเลยค่ะ และห้องพักของที่นี่ จะแปลกกว่าประเทศไทย บางโรงแรมเนื่องจากจะมีห้องพักแบบมีครัวด้วย นี่เป็นห้องที่เลอะที่สุด ชั้นนึงจะมีประมาณ 7 ห้องนอกนั้นจะเป็นห้องปกติ เตียงเดี่ยวเตียงคู่ สลับกันไป
...และนี่ก็เป็นหน้าตาของ Supervisor ของพวกเราค่ะ
คอย ดูแลจัดการ คอยบอกว่าห้องไหนพักต่อ/เชคเอาท์ เป็นชาวอเมริกันค่ะชื่อ จอนนี่ เป็นคนน่ารักดีค่ะเตยชอบคุยเล่นเพื่อที่จะฝึกภาษาสำเนียงอเมริกัน 55 โดยเตยจะพูดตามจอนนี่ทุกประโยค ทุกคำที่เตยได้ยิน แปลออกบ้างไม่ออกบ้างและ จอนนี่ก็จะหาว่า นี่ยูพูดตามไอทำไม ซึ่งเขาก็คิดว่า เตย ไปกวนหรือล้อเลียนเขาค่ะ 55555 และเตยก็อธิบายถึงเหตุผลให้เขาฟัง เขาเลยยินดีที่จะสอนภาษาอังกฤษให้เราค่ะ จอนนี่น่ารักมากๆ ส่วนเพื่อนๆที่ร่วมงานกันก็ไปคนสเปนทั้งนั้นค่ะ บางคนไม่ชอบเด็กไทยก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่พวกเตยก็ไม่สนใจแต่มีเพื่อนร่วมงานคนๆนึง คอยสอนเตยทุกอย่าง การทำความสะอาดต่างๆ คนคนนี้เป็นอย่างไร ต้องทำตัวอย่างไร และคอยไปรับ-ส่ง เตยไปทำงาน/เลี้ยงข้าวพาไปช้อปปิ้ง
เขาเป็นคนแมกซิกันเช่นกันค่ะ ตอนไปเตยกับเพื่อนอีกคนชื่อพลอย(ที่มาด้วยกัน) ตอนเช้าไปออกไปรอรถโทลเลย์ (รถ เมล์เหมือนบ้านเรา) ซึ่งออกเป็นเวลามีเฉพาะจัน-เสาร์ จอดที่ walmart เตยกับพลอยเอาจักรยานจอดไว้ที่นั่นก็ไปขึ้นรถกันรอบแรกเขาคิด ราคานักเรียนค่ะ 555 $1.75 ขึ้นทุกวันจนคนขับรถจำหน้าได้ ซึ่งบางวันไม่ต้องตะโกนบอกว่า next stop เลยค่ะ เขาจะชะโงกมองที่กระจกว่าวันนี้เราขึ้นรถมารึเปล่า พอตอนกลับเค้าก็มาส่งเตยกับพลอยที่ walmart และเตยกับพลอยก็ขี่จักรยานกลับบ้านค่ะซึ่งเตยกับพลอยทำแบบนี้ทุกๆวัน และเขาก็เต็มใจที่จะไปส่ง เขาชื่อ Otoniel (โอโตเนียน) เรียกกันเป็นภาษาเมกันว่า โทนี่ค่ะเขาอายุไล่เลี่ยกะพ่อแม่เตยเลย อยู่กับเขาแล้วเตยรู้สึกปลอดภัยเขาก็เอ็นดูเราเหมือนลูกของเขาเช่นกันค่ะ เพราะเขาก็มีลูกสาวแก่กว่าเตย 2-3 ปีแต่เขาเป็นคนที่ พนักงานในที่ทำงานไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ค่ะ ซึ่งเตยคิดว่าเพราะเค้าทำงานที่นี่มา6 ปี ละอีกอย่างคือเขาได้เป็น Supervisor แทนวันที่จอนนี่หยุดงานซึ่งพนักงานบางคนทำงานนานกว่าไม่ได้เป็นหัวหน้า เขาเป็นคนค่อนข้างจุกจิกเวลาห้องไม่สะอาดแม้แต่เส้นผม 1 เส้น 5555 มาที่นี่ว่าจะได้ภาษาอังกฤษกลับไปแต่ผลที่ได้คือ ได้ภาษาสเปนกลับไปค่ะ 555 เพราะได้ยินเพื่อนคุยกันทุกวันฟังเพลงสเปนทุกวัน คนที่ทำงานสอนพูดบ้าง และที่สำคัญ โทนี่ตั้งชื่อเป็นภาษาสเปนให้ชื่อ Donita (โดนิตะ) ซึ่งเป็นว่าโดนัทเขาบอกว่าเตยอ้วนเหมือนโดนัท เอิ่ม..5555 (จะดีใจดีไหม-.-)
ทำงานอีกประมาณเกือบสองเดือนได้เวลาที่เราต้องเที่ยวบ้าง พอดีเพื่อนในบ้านทำงานวาฟเฟิลเฮ้ามีโอกาศหยุดตรงกัน 1 วัน ค่ะ แต่เราจะไปเที่ยวกัน 3 วัน 2 คืน จึงต้องขอร้องจอนนี่5555ทางเฟสบุ๊ค555 จอนนี่อนุญาตค่ะ จากนั้นก็เก็บกระเป๋าไปออแลนโด เย้ๆ 5555 5 พวกเรานั่งรถGreyhoundจากสถานีในเมืองไปยังออแลนโด ใช้เวลา 8 ชม.เต็มๆค่ะ แต่ดีที่มีไววไฟให้เล่นตลอดทางและเรา ไปต่อรถที่อีกเมืองนึงก่อน และจองโรงแรมชื่อ Days Inn นั่งแทกซี่หน้าสถานีไปกันค่ะซึ่งทริปนี้เราจะไปเที่ยว Universal studios กันค่ะโดยที่นี่มีบริการรับส่งฟรี ;) ทริปนี้เดินทางไปกัน 4 คนค่ะ มีพี่จีจี้ น้องไนท์ เตย พลอย พวกเราจองทุกอย่างผ่านอินเทอร์เนตค่ะ โดยตัดผ่านบัตรเครดิตทั้งหมด รวมถึงซื้อบัตรเข้าสวนสนุก สะดวกมากๆ
เราเล่นเครื่องเล่นกันทุกอย่างค่ะ สนุกสุดเหวี่ยงไปเลยเมืองนี้ต่างกับเมืองที่เราอยู่กันมากๆ เพราะมีแสงสี ข้างทางสวยมากๆค่ะมันเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว มีรถโทลเล่ย์สำหรับเดินทางไป-กลับ outlet ถึงที่พักเลยค่ะสองข้างทาง ก็จะเต็มไปด้วยร้านอาหารเยอะมากๆนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆก็เยอะมากๆเหมือนกัน ค่ะ.
การใช้ชีวิต ณ แดนไกลเริ่มจะสิ้นสุดลงค่ะ เมื่อคนในบ้านทยอยหายกลับไทยไปทีละคนทีละคน
คนที่ทำงานก็เศร้า โดยเฉพาะโทนี่ ค่ะ วันสุดท้ายที่เตยทำงาน เขาซึมมากๆค่ะมากอดมาถ่ายรูปด้วยตลอด บางคนที่ไม่ชอบเตยเขาก็ดีใจค่ะ
พวกเตยก็จัดการทุกอย่าง เคลียร์ทุกอย่างแม้กระทั่งจักรยานที่ซื้อมาก็ไปขายให้เด็กจีนเพิ่งมาถึงอเมริกาวันแรก
เตยซื้อมา $59 ขาย $40 ซึ่งคุ้มมากค่ะ ใช้ 3 เดือน ตากทั้งแดดทั้งฝน สนิมขึ้น ยางเริ่มเสื่อมฮ่าๆๆ
เตยกับพลอยก็ออกจาก ปานามา นั่งรถไปออแลนโดอีกรอบค่ะ
คราวนี้เราไปเที่ยวเป็นกรุ๊ปใหญ่ไปกับพี่ๆในบ้านทั้งหมด 7 คนอัดกันในห้องเล็กๆ 1 ห้องของโรงแรมเดิม หารกันตกคืนละ $7